ผีไทย ฮาโลวีน

ผีไทย ฮาโลวีน

เทศกาลฮาโลวีน (Halloween) ช่วงเวลาแห่งความกรี๊ด หวีด สยอง เวียนกลับมาอีกแล้วทุกๆ วันสิ้นเดือนตุลาคม (31 ต.ค.) ตามประวัติความเป็นมาของชาติตะวันตกที่เป็นต้นกำเนิดเทศกาล กล่าวได้ว่านี่เป็น “วันปล่อยผี” หรือเป็นวันที่มิติคนตายและคนเป็น หรือโลกแห่งวิญญาณและโลกแห่งมนุษย์ จะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน

ตามตำนานเล่าว่า ใน วันสิ้นเดือนตุลาคม ซึ่งถือเป็นวันสิ้นสุดฤดูร้อน และก่อนจะขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 พฤศจิกายน วิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตในปีที่ผ่านมา จะเที่ยวหาร่างของคนเป็นเพื่อเข้าสิง เพื่อที่วิญญาณนั้นจะได้มีชีวิตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ คนเป็น ๆ จึงต้องพยายามทำทุกวิถีทางที่จะป้องกันไม่ให้วิญญาณมาเข้าสิงร่างของตน ชาวเซลท์ (ชนพื้นเมืองเผ่าหนึ่งในไอร์แลนด์) จึงปิดไฟทุกดวงในบ้าน เพื่อให้อากาศหนาวเย็นและไม่เป็นที่พึงปรารถนาของบรรดาภูติผีปีศาจ

แต่ไฮไลท์ก็คือ การพยายามแต่งกาย “ปลอมตัว” เป็นผีร้าย เพื่อให้ผีหรือดวงวิญญาณที่กำลังล่องลอยอยู่ในโลกมนุษย์ เข้าใจผิดว่าเป็นผีเหมือนกัน ก็จะได้ไม่เข้าสิงร่าง นี่จึงเป็นที่มาของการแต่งกายเลียนแบบเป็นผีต่าง ๆ ในช่วงเทศกาลฮาโลวีน

เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลนี้ ประเทศไทยก็เหมือนกับหลายๆ ประเทศทั่วโลก ผู้คนนิยมแต่งตัวเป็น ‘ผีไทย’ หลากหลายสไตล์มาร่วมงานปาร์ตี้ฮาโลวีน และเพื่อประกาศว่าการประกวด ‘ผีไทย ฮาโลวีน‘ ที่รอคอยมายาวนานมีศักยภาพในการสร้างความสยดสยองที่สามารถเทียบเคียงกับผีใด ๆ ในโลก วันนี้เราจะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับตำนาน ‘ผีไทย’ และแต่งตัวได้มากขึ้น สร้าง รสชาติและสีสัน ชุดแฟนซี ปีนี้ฉันไปปาร์ตี้ฮัลโลวีน

ผีไทย ฮาโลวีน ผีกระสือ

เด็กไทยทุกคนน่าจะคุ้นเคยกับฉี่ราด กระสือได้รับอิทธิพลจากละครโทรทัศน์และภาพยนตร์ที่สร้างใหม่หลายชั่วอายุคน ผู้หญิงก็ว่าได้ โดยปกติจะเป็นคุณยายแก่ๆ ที่ชอบทานของสดและสกปรก เช่น อุจจาระและรกของทารกแรกเกิด ตกกลางคืนเรามักจะกินข้าวนอกบ้านโดยถอดหัวออกจากร่างกายทิ้งไว้ที่บ้าน เหลือแต่หัว ไหลไปที่ตับ ไต ลำไส้ บ้างก็ว่าแสงแห่งดวงกำลังส่องแสง ไปทั้งคืนก่อนจะกลับคืนร่างในรุ่งสาง

ในระหว่างวันร่างกายจะดูเหมือนคนปกติ แต่มีพฤติกรรมและอาการแปลกๆ เช่น ไม่ชอบสบตา เงียบไม่พูดกับใคร ชอบอยู่คนเดียว บางคนไม่ชอบแสงสว่าง กระษีมักไม่ทำร้ายคน หากคุณพบพวกเขาระหว่างเดินทาง พวกเขาจะลอยอยู่

สิ่งที่กระสือกลัวคือ หนาม กิ่งไม้เป็นหนามๆ (เพราะกลัวเกี่ยวไส้) และไฟ หากมีใครนำผ้าที่กระสือไปเช็ดปากทิ้งรอยเปื้อนเอาไว้ไปต้มในน้ำเดือด กระสือจะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนปากจนทนไม่ไหว ผู้ที่เป็นกระสือนั้นมักจะเป็นผู้ที่บูชาไสยศาสตร์มนต์ดำ (เดรัจฉานวิชา) แต่ทำผิดข้อห้าม จนตัวเองต้องกลายเป็นกระสือไปในที่สุด เมื่อใกล้ตาย กระสือมักจะคายน้ำลายของตนถ่ายเข้าปากลูกหลานคนใดคนหนึ่งไว้ให้สืบทายาทเป็นกระสือต่อไป

ผีกระหัง

อีกชื่อหนึ่งเรียกว่า กระหาง เป็นผีตามความเชื่อของคนไทย กระหังเป็นผีผู้ชาย คู่กับผีกระสือ ซึ่งเป็นผู้หญิง เชื่อกันว่าผู้ที่เป็นผีกระหังนั้น จะเป็นผู้ที่เล่นไสยศาสตร์ เมื่ออาคมแกร่งกล้าไม่สามารถควบคุมได้ก็จะเข้าตัว กลายเป็นผีกระหังไป ผีกระหัง จะบินได้ในเวลากลางคืน จะใช้กระด้งฝัดข้าวติดกับแขนแทนปีก และใช้สากตำข้าวหรือสากกระเบือผูกติดกับขา แทนหาง หรือขา ออกหากินของโสโครก เช่นเดียวกับ ผีกระสือ หรือผีโพง

ผีแม่นาค (บ้างก็เขียน แม่นาก)

หรือผีแม่นาคพระโขนง ชื่อเต็มๆ มักเรียกกันว่า แม่นาก (ส่วนมากสะกดว่า ควาย) หรือ นางนาก เนื่องจากได้ผลิตเป็นละครโทรทัศน์ที่คนไทยรู้จักมาช้านาน จึงมีการสร้าง รีเมค และสร้างเป็นภาพยนตร์และละครเวทีอยู่หลายครั้ง ดูเหมือนผีสาวผมยาว ลักษณะเด่นคือมักจะยืนกอดลูกที่คอยสามี(พี่หมาก)ริมน้ำ เชื่อกันว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงในปลายสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ปัจจุบันมีศาลแม่นาคตั้งอยู่ที่วัดมหาบุศย์ ซอยสุขุมวิท 77 (ถนนอ่อนนุช) เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร

ผีตานี

เป็นผีผู้หญิง เช่นเดียวกับผีนางตะเคียน โดยนางตานีจะสิงสถิตอยู่ในต้นกล้วยตานี อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ต้นกล้วยตานีทุกต้นจะมีพรายตานีสิงอยู่ ลักษณะของพรายตานีโดยทั่วไปจะเป็นหญิงงาม นุ่งห่มตามแบบสตรีไทยโบราณ สไบสีเขียวตองอ่อน ผ้านุ่งโจงสีตองแก่ กลิ่นกายหอมดอกกล้วย

เรื่องการเรียกพรายตานี (ให้ออกมาจากต้นกล้วย) นี้มีหลายตำนาน บ้างก็ว่าให้ชายที่ต้องการเรียกพรายตานีมาปัสสาวะรดโคนต้นกล้วยที่กำลังออกปลีใหม่ ๆ บ้างก็ว่าให้เอาของลับถูกับโคนต้นกล้วย

เจริญ อินทรเกษตร อธิบายไว้ในสารานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม 13 ว่า “ต้นกล้วยตานี เป็นที่สิงสถิตของพรายนางตานี เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนรุ่นเก่า พรายนางตานีนี้ว่ากันว่า มีหน้าตาสวย มีกลิ่นตัวหอม ไว้ผมยาว ฝ่ามือฝ่าเท้าแดงอ่อนดุจตีนนกพิราบ ริมฝีปากมีสีเหมือนตำลึงสุก ถ้ากล้วยตานีมีลำต้นอวบ พรายนางตานีก็มีรูปทรงท้วม ถ้ามีลำต้นโปร่งเปลา พรายนางตานีก็มีรูปทรงฉลวย”

เนื่องจากผีนางธรณีเป็นผี ชาวบ้านจึงไม่กล้าปลูกกล้วยน้ำว้าใกล้บ้าน ผมก็ปลูกไว้ใกล้บ้านเพื่อตัดใบตอง ห้ามมิให้ตัดใบทั้งใบ ให้นำเฉพาะใบตองมา หรือต้องหักก้านเสียก่อน ถ้าตัดเข้าบ้านทั้งหลัง ถือว่าเป็นลางร้ายว่าคนในบ้านนั้นจะตายในไม่ช้า

ผีพราย

ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในน้ำมากกว่าบนบก เป็นที่เชื่อกันว่าเป็นหนึ่งในวิญญาณที่เล็กที่สุดในลำดับวิญญาณที่มองเห็นได้ เช่น นางไม้ ผี และปีศาจ และส่วนใหญ่มักมาจากการทับถมของซากพืชและสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก

วิญญาณนี้มักจะปรากฏเป็นผู้หญิงในชุดคลุมสีขาว เป็นแสงจ้า มักปรากฏเวลา 06.00 น. เช้า เที่ยง 6.00 น. เย็น และตอนเที่ยงคืน มักปรากฏตามลำคลองและแม่น้ำที่ซึ่งความตายเด่นชัดที่สุด เมื่อมันจับเหยื่อได้ มันจะถือว่าศพของเหยื่อเป็นเหมือนร่างกายของมันเอง

นางไม้ส่วนใหญ่มักปรากฏเป็นเพศหญิง และนางไม้ บางครั้งก็จัดอยู่ในกลุ่มนางไม้ เช่น นางไม้ นางไม้ นางไม้ เป็นต้น หรือนางไม้และนางไม้ทะเล ก็จัดเป็นนางไม้ เช่น นางไม้ทะเล ก็แตกต่างกันไป)

นอกจากนี้ในเรื่องกุงชางกุงเฟิงยังมีภูตพรายคือหงส์อธิษฐาน และปรารภน่านอีกประเภทหนึ่งคือมารทะเลผีเขียว หางมีลักษณะเหมือนปลา ปิศาจหญิงที่มักทำให้ชาวเรือเข้าใจผิด และประสบภัยพิบัติ

ผีตายโหง

Mortal death คือคนที่ตายกะทันหัน ถูกยิง จมน้ำ ถูกรถชน ฆ่าตัวตาย ฯลฯ ผิดธรรมชาติ สำหรับการเวียนว่ายตายเกิดก็ถือว่าเป็นความตายที่ร้ายแรงเช่นกัน

ผีที่ตายแล้วคือผีที่เสียสติไปแล้ว อารมณ์ยังผูกติดกับความกลัว ตกใจ และอาฆาตแค้นจิตสุดท้ายก่อนตาย คร่ำครวญ ตาย ทำใจไม่ได้ วิญญาณไม่สงบ เป็นวิญญาณที่ถูกขังและถูกทรมานในบ่วงแห่งอารมณ์ต่างๆ เหล่านั้น ถ้าเป็นผีที่ออกไปจะดุร้ายเป็นพิเศษ ผีที่ตายแล้วมักจะหลอกหลอนสถานที่ที่พวกเขาเสียชีวิต เช่นผีเฝ้าถนนตามทางโค้งร้อยศพ

ผีปอบ

ขอปิดท้ายผีไทย ด้วย “ปอบ” หรือ “ผีปอบ” เป็นผีจำพวกหนึ่ง ที่อยู่ในความเชื่อพื้นบ้านของไทยมายาวนานจนถึงปัจจุบัน มีการนำมาทำเป็นละครและภาพยนตร์หลากหลายเวอร์ชัน ภาพจำของผู้ชมคือ มักจะมีการวิ่งหนีผีปอบลงโอ่งน้ำ ผลุบๆโผล่ๆหนีกันดูชุลมุนวุ่นวาย แต่ก็เป็นฉากคลาสสิคที่จะขาดเสียมิได้

ทางภาคอีสาน เชื่อกันว่า “ปอบ” เป็นผีที่กินของดิบ ๆ สด ๆ กินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม มีความเชื่อว่า ผู้ที่จะกลายเป็นปอบนั้น มักจะเป็นผู้เล่นคาถาอาคม หรือคุณไสย พอรักษาคาถาอาคมที่มีอยู่กับตัวไม่ได้ หรือกระทำผิดข้อห้าม ซึ่งในภาษาอีสานเรียกว่า “คะลำ” ทั้งนี้ ผู้ที่เป็นปอบจะเป็นได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย

ผีปอบเป็นผีที่ไม่มีตัวตนเหมือนกระสือและกองก๋อย แต่ผีปอบเป็นวิญญาณเจ้าเล่ห์ แฝงตัวอยู่ในร่างของคนที่เป็นสื่อ ใช้ร่างกายและรูปร่างหน้าตาของคนๆ นั้น ทำกรรมชั่ว และเชื่อว่า เมื่อวิญญาณปอบเข้าสิงใคร มันจะกินตับ ไต ไส้ พุง ของผู้ครอบครองจนตาย ผู้ถูกกินตายอย่างคนนอนปกติไม่มีตำหนิ เรียกว่า ลายได

อาการผีเข้าสิงเปลี่ยนไป เช่น รุนแรงขึ้น จำสิ่งต่างๆ จำคนใกล้ชิดหรือครอบครัวไม่ได้ และไม่กินอาหารสุกๆ ดิบๆ วิธีปราบปอบต้องใช้วิธีหมอผีหรือไสยศาสตร์ หมอใช้อุปกรณ์ในการจับปอบในสถานที่ต่างๆ เครื่องจักสานที่เรียกว่า “มงคง” ใช้ขังผีปอบโดยเฉพาะ เรื่องราวเหล่านี้เป็นตำนานคุณจะพบว่าแต่ละประเทศในส่วนต่าง ๆ ของโลกมีความเชื่อในท้องถิ่นและเรื่องราวเกี่ยวกับผี ผีของไทยมี